ธรรมาภิบาลข้อมูล หรือ Data Governance เป็นกระบวนการที่สำคัญในการบริหารจัดการข้อมูลภายในองค์กรภาครัฐ โดยมุ่งเน้นไปที่การควบคุมคุณภาพ ความปลอดภัย และการใช้ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ การทำ Data Governance ช่วยให้องค์กรภาครัฐสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของประชาชน จากข้อมูลของ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ได้ให้นิยามของธรรมาภิบาลข้อมูลไว้ในมาตรฐานรัฐบาลดิจิทัล ว่าด้วยกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ ฉบับปรับปรุง ดังนี้ “ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ หมายความว่า การกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้มีส่วนได้เสียในการบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐทุกขั้นตอน เพื่อให้การได้มาและการนำข้อมูลของหน่วยงานของรัฐไปใช้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน รักษาความเป็นส่วนบุคคล และสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยน และบูรณาการระหว่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงปลอดภัย โดยใช้ข้อมูลเป็นหลักในการบริหารงานภาครัฐและการบริการสาธารณะ” ข้อมูลจาก มาตรฐานรัฐบาลดิจิทัล ว่าด้วยกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ อ้างอิงจาก สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
จะเห็นได้ว่า ธรรมาภิบาลข้อมูล มีจุดมุ่งหมายในการกำกับดูแลกระบวนการบริหารจัดการข้อมูลตลอดอวงจรชีวิตของข้อมูล (Data Life Cycle) ตั้งแต่การสร้าง (Create) จัดเก็บ (Store) ใช้ (Use) เผยแพร่ (Publish) จัดเก็บถาวน (Archive) และทำลาย (Destroy) เพื่อให้ข้อมูลมีคุณภาพ พร้อมใช้งาน ลดข้อผิดพลาดของข้อมูล รวมถึงเกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้ได้มากที่สุด โดย กพร. ได้จัดทำกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในระดับหน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย การจัดทำนิยามและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล (Definition and Rules) โครงสร้างธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Structure) และกระบวนการธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ (Data Governance Processes) โดยบุคลากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ จะถูกแต่งตั้งโดยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงาน เพื่อทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ตรวจสอบสภาพแวดล้อมของธรรมาภิบาลข้อมูล นิยามความหมายและขอบเขตของข้อมูล กำหนดกฎเกณฑ์และนโยบายข้อมูล และดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และนโยบายการบริหารจัดการข้อมูล
กรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในระดับหน่วยงาน ข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ประโยชน์ และความท้าทายของการทำ Data Governance
การทำ Data Governance ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ดังนี้
1. การตัดสินใจที่มีข้อมูลเป็นฐาน (Data-Driven Decision Making): การตัดสินใจที่มีข้อมูลเป็นฐานหมายถึงการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือในการวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจ การทำ Data Governance ช่วยให้ข้อมูลมีความเป็นระเบียบ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลายมาอยู่ในที่เดียวกัน และทำให้ข้อมูลพร้อมใช้งานได้ทันเวลา การใช้ข้อมูลที่มีคุณภาพจะทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
2. การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ (Compliance): องค์กรภาครัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR, PDPA) การทำ Data Governance ช่วยให้มีระบบการจัดการข้อมูลที่เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดทางกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากการละเมิดกฎหมายซึ่งอาจนำไปสู่การถูกปรับและเสียชื่อเสียง
3. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security): การทำ Data Governance ช่วยให้มีการกำหนดนโยบายและกระบวนการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และการติดตามการใช้งานข้อมูล สิ่งเหล่านี้ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต การโจรกรรมข้อมูล และการใช้งานข้อมูลที่ไม่เหมาะสม ทำให้ข้อมูลของประชาชนมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้
4. ความน่าเชื่อถือและคุณภาพของข้อมูล (Data Quality and Integrity): การทำ Data Governance ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่มีการจัดเก็บและใช้งานนั้นมีคุณภาพและเชื่อถือได้ มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการในการตรวจสอบและปรับปรุงคุณภาพของข้อมูล เช่น การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน การแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และการตรวจสอบข้อมูลที่มีความไม่สมบูรณ์ การมีข้อมูลที่มีคุณภาพทำให้การวิเคราะห์และการรายงานผลเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ
5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน (Operational Efficiency): การทำ Data Governance ช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดการข้อมูลและเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการ การมีข้อมูลที่เป็นระเบียบและมีโครงสร้างชัดเจนช่วยให้การทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการค้นหาและตรวจสอบข้อมูล ทำให้สามารถมุ่งเน้นไปที่การทำงานหลักและการให้บริการประชาชนได้อย่างเต็มที่
ความท้าทายในการทำ Data Governance
1. ความซับซ้อนของข้อมูล (Complexity of Data): องค์กรภาครัฐมักมีแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและประเภทข้อมูลที่แตกต่างกัน เช่น ข้อมูลประชากร ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลการศึกษา ทำให้การจัดการและบูรณาการข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย การทำ Data Governance จำเป็นต้องมีระบบที่สามารถจัดการกับข้อมูลที่มีความซับซ้อนและหลากหลายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (Technological Change): เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว องค์กรภาครัฐต้องมีการปรับตัวและอัพเดตวิธีการจัดการข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น การใช้คลาวด์คอมพิวติ้ง การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการดำเนินการ
3. การสร้างวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Change): การนำ Data Governance มาใช้ต้องการการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรและพฤติกรรมของพนักงาน องค์กรต้องมีการส่งเสริมการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจและการทำงาน การอบรมพนักงานเกี่ยวกับการจัดการและการใช้ข้อมูล รวมถึงการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ข้อสรุป
การทำ Data Governance เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรภาครัฐในยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล นอกจากนี้ยังช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ลดความเสี่ยงและเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำงาน การทำ Data Governance อย่างเต็มรูปแบบและต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรภาครัฐสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต