top of page

BCG Model: The Future of Modern Agriculture อนาคตของการเกษตรสมัยใหม่



ภาคเกษตรกรรมเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานรากของไทย เมื่อคิดเป็นมูลค่าของ GDP พบว่า มีมูลค่าร้อยละ 9 ของมูลค่า GDP ทั้งหมด หรือมีมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม รายได้ครัวเรือนเกษตรกร พบว่า มีการขยายตัวเพียง ร้อยละ 3.81 ต่อปี และเมื่อเปรียบเทียบกับรายจ่ายมีการขยายตัวมากกว่า ร้อยละ 6.30 ต่อปี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเกษตรกรเจอภาวะที่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้รับ โดยปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสภาวะทางการเงินของเกษตร คือ 1) ปัญหาการถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดิน เกี่ยวข้องโดยตรงกับความยากจนของเกษตรกร เนื่องจากขาดแคลนที่ดินทำกิน ทำให้ต้องเช่าที่ดินในการทำการเกษตร ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนของเกษตรกร 2) ราคาผลผลิตตกต่ำและมีความผันผวนสูง เนื่องจากราคาผลผลิตเป็นไปตามอุปสงค์-อุปทานในตลาดโลก และการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง 3) ต้นทุนทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากตลาดต่างประเทศ อาทิ ปุ๋ยเคมี 4) การขาดแคลนแรงงานในภาคการเกษตร เมื่อเปรียบเทียบจากสถิติจำนวนแรงงานในปี พ.ศ. 2555 แรงงานในภาคการเกษตรมีจำนวน 15.4 ล้านคน ในขณะที่ปี พ.ศ. 2566 แรงงาน ภาคการเกษตรลดลงเหลือจำนวน 12 ล้านคน และ 5) การขาดองค์ความรู้ในการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร


ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงได้ส่งเสริมการทำการเกษตรสมัยใหม่และเกษตรมูลค่าสูงตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมีรายละเอียดกรอบแนวคิด ดังนี้


1.เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) คือ

ระบบเศรษฐกิจที่นำความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใช้ในการทำการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานให้กับสินค้าเกษตร


2.เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คือ

การใช้ทรัพยากรทางการเกษตรอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยลดปัญหาด้านมลพิษ ลดขยะหรือของเสียในการทำการเกษตรให้เป็นศูนย์ (Zero Waste)


3.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) คือ

การทำการเกษตรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้ทรัพยากรทางการเกษตรอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า กระบวนการทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลด ละ เลิก การใช้สารเคมี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนระบบการเกษตรของประเทศไทยสู่ประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง และรายได้สูง ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมผสานภูมิปัญญา ยกระดับผลผลิตเกษตรสู่มาตรฐานสูง ซึ่งส่งผลให้การทำเกษตรเป็นอาชีพที่สร้างรายได้สูง เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรให้สูงขึ้น สามารถกำหนดราคาขายได้ตามคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร จึงส่งผลให้ GDP ภาคเกษตรกรรมเติบโตอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ ในปัจจุบันมีการศึกษาและส่งเสริมเกษตรกรไทยที่มีการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในกลุ่มพืชเศรษฐกิจและพืชมูลค่าสูง โดยรูปแบบการทำการเกษตรตามแนวเศรษฐกิจ BCG ในไทยมีตัวอย่าง ดังนี้


ตัวอย่างการทำการเกษตรสมัยใหม่และเกษตรมูลค่าสูงตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในไทย


ข้าว : โครงการ “ข้าวรักษ์โลก BCG Model”

โครงการ “ข้าวรักษ์โลก BCG Model เป็นแนวคิดการปลูกข้าวแนวใหม่ โดยเป็นความร่วมมือของสมาคมพัฒนาเศรษฐกิจเกษตรรักษ์โลก ผู้ดำเนินการและดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กรมการข้าว และสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำนาใหม่ อย่างยั่งยืน ซึ่งปลอดภัยต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยมีกิจกรรมในการเพาะปลูกที่สอดคล้องตาม BCG Model ดังนี้

  • เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)

    • การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน: เก็บตัวอย่างดินในแปลงนา ส่งวิเคราะห์หาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อประเมินปริมาณปุ๋ยเท่าที่จำเป็น ช่วยลดปริมาณก๊าซไนตรัสออกไซด์จากดิน

    • การใช้เครื่องจักรกลปรับระดับดินนาด้วยแสงเลเซอร์ (Laser land leveling): ใช้เครื่องเลเซอร์วัดระดับและควบคุมกระบะเกลี่ยดิน เพื่อให้หน้าดินแปลงนาราบเรียบเสมอกัน

    • การไถกลบตอซังและฉีดพ่นจุลินทรีย์แล้วกลบกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ

    • การไถกลบฟางและตอซังข้าวแทนการเผาไหม้

    • การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง: ใช้ท่อ PVC ขนาด 4 นิ้วมีรูเจาะรอบตัว เพื่อให้เกษตรกรให้น้ำกับข้าวในระยะที่ข้าวต้องการเท่านั้น ทำให้สามารถเช็ก ปริมาณน้ำในนา ไม่สิ้นเปลืองการใช้น้ำ รวมถึงลดการใช้พลังงานสูบน้ำได้ ทั้งนี้ ควรทำในพื้นที่นาที่สามารถควบคุมระบบน้ำเข้า-ออกได้ อาทิ พื้นที่ชลประทาน หรือทำนาโดยมีบ่อน้ำ สามารถลดการเกิดก๊าซมีเทน 30-80%


ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ

ด้านสภาพแวดล้อม

  • เกษตรกรสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าชเรือนกระจกที่สำคัญ 

  • เกษตรกรลดมลพิษทางน้ำ ทางอากาศ และความเสื่อมโทรมของดิน ไม่มีมลพิษตกค้างทั้งในพื้นที่แปลงนาและพื้นที่บริเวณข้างเคียง

ด้านเศรษฐกิจ

  • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจาก 300-350 กิโลกรัมไร่ เพิ่มเป็น 600-620 กิโลกรัม/ไร่

  • เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในเพาะปลูกข้าว จากเดิมต้นทุน 4,500 บาท/ไร่ ลดเหลือ 2,500 บาท/ไร่

ด้านสังคม

  • เกษตรกรมีรายได้ในการดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น

  • เกษตรกรได้รับความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร


ยางพารา : การทำสวนยางพาราแบบเกษตรผสมผสานอย่างยั่งยืน

การทำสวนยางพาราแบบเกษตรผสมผสาน เป็นการปลูกยางพันธุ์ดีเป็นพืชหลักและมีการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ร่วมด้วย เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ รักษาความสมดุลทางธรรมชาติ และใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่ให้คุ้มค่า ตลอดจนการบริหารจัดการ Carbon Credit ในพื้นที่สวนยาง รวมถึงมีการแปรรูปน้ำยางสดเป็นสินค้าแปรรูปขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต โดยมีกิจกรรมในการเพาะปลูกที่สอดคล้องตาม BCG Model ดังนี้


  • เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)

    • กระบวนการกรีดยางมีความประณีตสูง อาทิ การกรีดรอยชนรอยซึ่งจะเพิ่มผลิตน้ำยางกว่าร้อยละ 30 การวางแผนการปลูก การเพาะปลูกยางพาราพันธุ์ดีเหมาะสมกับพื้นที่

    • การแปรรูปยางพารา การเพิ่มมูลค่าผลผลิตน้ำยางสด โดยมีการแปรรูปยางพาราตั้งแต่ขั้นต้น

    • (อาทิยางก้อนถ้วย ยางแผ่นดิบ ยางเครป) ขั้นกลาง (อาทิ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง น้ำยางข้น ยางผสม ยางสกิม) และขั้นปลาย (อาทิ ถุงมือยาง เครื่องนอน)

    • การแปรรูปเพิ่มสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิตจากพืชที่ปลูกร่วมยางพารา อาทิ การแปรรูปผลผลิตจากไม้ผล หญ้ารูซี่สำหรับเป็นอาหารในอุตสาหกรรมปศุสัตว์

  • เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

    • การทำปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุภายในสวนยางพารา นำเศษวัสดุที่เหลือจากการทำการเกษตร  อาทิ ใบยางพารา ผสมกับปุ๋ยคอก หรือการนำเศษผัก ผลไม้ และกากน้ำตาลมาบดแล้วหมักในภาชนะ

  • เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)

    • การปลูกพืชร่วมกับยางพารา โดยปลูกระหว่างแถวยางพารา ซึ่งสามารถปลูกพร้อมต้นยางพาราได้ โดยต้องเป็นพืชที่ปลูกภายในร่มเงาของต้นยางพารา สามารถขึ้นได้ดีในสภาพร่มเงา และควรเลือกปลูกพืชตามความต้องการตลาดและพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนที่จะปลูก ได้แก่ ไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ (อาทิ กระถิน ตะเคียนทอง ยางนา พะยูง ไม้กฤษณา กันเกรา) ไม้ผล (อาทิ มะม่วง ทุเรียน เงาะ มังคุด) พืชผัก และพืชสมุนไพร (อาทิ ขิง ข่า ขมิ้น ผักใบเหลียง) การปลูกพืชคลุมดินเพื่อป้องกันปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความลาดชัน อาทิ พืชตระกูลถั่ว (ถั่วคาโลโป ถั่วคูดซู และถั่วลาย) และการปลูกพืชแซมยางพารา ซึ่งจะปลูกในช่วงระยะ -1-3 ปี และเลิกปลูกเมื่อเข้าปีที่ 4 ควรปลูกเป็นพืชไร่ อาทิ ข้าวไร่ ข้าวโพด สับปะรด หญ้ารูซี่

    • การนำต้นยางพาราผ่านกระบวนการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตซึ่งจะส่งเสริมให้สวนยางพารากลายเป็นสวนยางพาราที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) คือ เป็นสวนยางพาราที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับศูนย์และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในคราวเดียวกัน


ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ

ด้านสภาพแวดล้อม

  • เกษตรกรสามารถใช้พื้นที่ภายในสวนยางพาราอย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • เกษตรกรสามารถรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ทั้งแร่ธาตุในดินและปริมาณน้ำในดิน

ด้านเศรษฐกิจ

  • เกษตรกรสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากการแปรรูปยางพาราที่สามารถขายผลิตภัณฑ์ยางพาราในราคาสูง รวมถึงการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตสามารถสร้างรายได้เฉลี่ย 1,200 บาทต่อไร่

  • เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการทำการเกษตร อาทิ ค่าปุ๋ย ค่าจ้างแรงงานในการดูแลวัชพืช

  • เกษตรกรขยายตลาดจากการขายผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพารา ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง

ด้านสังคม

  • เกษตรกรมีรายได้ในการดำรงชีวิตประจำวันที่มั่นคงมากขึ้น

  • เกษตรกรได้รับความรู้และทักษะในการทำการเกษตรแบบผสมผสาน


ทุเรียน : การเพาะปลูกทุเรียนด้วยเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่

การเพาะปลูกทุเรียนด้วยเทคโนโลยีด้านการเกษตรสมัยใหม่ มุ่งเน้นการปรับใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อเพิ่ม

ประสิทธิภาพการผลิตทุเรียนให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพสูง โดยยึดหลักการจัดการสวนที่ขึ้นอยู่กับข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ ซึ่งการใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตรช่วยให้สามารถบริหารจัดการปัจจัยการผลิต อาทิ ปุ๋ย สารกำจัดศัตรูพืช รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน โดยมีกิจกรรมในการเพาะปลูกที่สอดคล้องตาม BCG Model ดังนี้


เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy)

  • การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพาะปลูกทุเรียน เพื่อช่วยในการลดต้นทุนการผลิต อาทิ Smart Sensor และระบบ Internet of Things (IoT) ในการวางแผนการบริหารจัดการปลูกทุเรียน อาทิ การวิเคราะห์ปริมาณน้ำ ปริมาณปุ๋ย อุณหภูมิ และความชื้นในดิน

  • การใช้เทคโนโลยีโดรนในการวางแผนและถ่ายภาพแปลงเพาะปลูก ใช้ในการหว่านเมล็ดพืช ฉีดพ่นปุ๋ย และสารกำจัดศัตรูพืช

เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

  • การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อปรับปรุงสภาพดินแทนการใช้ปูนขาว

  • การนำเปลือก กิ่ง และใบ ผลิตเป็นถ่านบริสุทธิ์ และกลั่นเป็นน้ำส้มควันไม้เพื่อสร้างรายได้

เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy)

  • การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เป็นแหล่งพลังงานภายในสวนทุเรียนสำหรับระบบน้ำ


ประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ

ด้านสภาพแวดล้อม

  • เกษตรสามารถลดการเกิดมลพิษดิน น้ำ และอากาศที่เกิดจากการทำการเกษตร เนื่องจากการลดใช้สารเคมีในการทำการเกษตร

  • การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเกิดมลพิษทางอากาศ

ด้านเศรษฐกิจ

  • เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตและรายได้จากการใช้โดรน จากเดิม 0.2 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้น 1.85 ตันต่อไร่

  • เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการใช้เทคโนโลยีระบบ IoT ในการบริหารจัดการปัจจัยการผลิต รวมถึงการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนการใช้ปูนขาว

ด้านสังคม

  • เกษตรกรสามารถเพิ่มรายได้ในชีวิตประจำวัน

  • เกษตรกรได้รับความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตร


ดังนั้น การทำการเกษตรสมัยใหม่และเกษตรมูลค่าสูงตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในไทย จะช่วยให้ภาคการเกษตรของไทยมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น พร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายที่เกิดขึ้นในการทำการเกษตรตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้แก่ การขาดเงินทุนในการลงทุนด้านเทคโนโลยีด้านการเกษตร การขาดองค์ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีด้านการเกษตร การทำเกษตรอินทรีย์ การทำเกษตรผสมผสาน และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรแบบดั้งเดิมมาเป็นการทำเกษตรสมัยใหม่และมูลค่าสูง อาทิ การออกสินเชื่อสำหรับการทำการเกษตรตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) การสนับสนุนความรู้การทำการเกษตรสมัยและเกษตรมูลค่าสูงผ่านเกษตรกรต้นแบบและสำนักงานเกษตรในพื้นที่ต่าง ๆ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์



เอกสารอ้างอิง


กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (2565) แนวทางการขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรด้วย BCG Model แบบบูรณาการเชิงพื้นที่

การยางแห่งประเทศไทศ (2567) กยท. แท็กทีม อบก. ลงนาม MOU บริหารจัดการคาร์บอนเครดิตในสวนยาง เพิ่มรายได้เสริมแก่เกษตรกร ลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศเป็นศูนย์ แหล่งที่มา : https://www.raot.co.th/ewt_news.php?nid=92513&filename=Contact_South_Down2

ธนาคารแห่งประเทศไทย (2566) นวัตกรรมการเกษตร: ทางออกปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทย ตอน 1 แหล่งที่มา : https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_10Apr201.html

มูลนิธิเกษตรรักษ์สิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) (2018) เทคนิคการจัดการน้ำในนาข้าวแบบเปียกสลับแห้ง แหล่งที่มา : http://www.aecth.org/Article/Detail/138197

วิทยา พรหมมี. (2564). การสร้างสวนยางตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ สวนยางยั่งยืน.  วารสารยางพารา, 42 (1) ,2-10 แหล่งที่มา : https://www.raot.co.th/ebook/ebook-44.pdf

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ (2567) ภูมิธรรม สั่ง สนค. ศึกษาเศรษฐกิจครัวเรือนภาคเกษตร เพื่อยกระดับและเพิ่มรายได้เกษตรกรไทย แหล่งที่มา : https://tpso.go.th/news/2401-0000000001 

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (2563) เทคโนโลยีโดรน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพื่อเกษตรกรสวนทุเรียนยุคใหม่ แหล่งที่มา : https://www.depa.or.th/th/article-view/Drone-technology-reduces-costs-increases-productivity-for-the-new-generation-of-durian-farmers

สำนักข่าวสปริงนิวส์ (2565) ข้าวรักษ์โลก คืออะไร ? ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดต้นทุนระยะยาว ดีต่อใจแหล่งที่มา : https://www.springnews.co.th/keep-the-world/834086

สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์ (2565) รัฐบาลชูผลสำเร็จโครงการข้าวรักษ์โลก BCG โมเดล เพิ่มรายได้ลดต้นทุนจริง นายกฯ ปลื้มเกาะติด แหล่งที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9650000114575

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทยธนชาติ (2567) ttb analytics เตือนแรงงานภาคเกษตรหายไปกว่า 4 ล้านคนในรอบ 10 ปี แหล่งที่มา : https://www.ttbbank.com/th/newsroom/detail/ttba-agricultural-labor-2024

bottom of page