ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในวงกว้าง ซึ่งมีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ สอดคล้องกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวเทคโนโลยี AI ใหม่ๆ มากมาย แต่ละตัวล้วนมีความสามารถและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เช่น Chatgpt ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกสร้างขึ้นโดย OpenAI โดยใช้โมเดล GPT (Generative Pre-trained Transformer) เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลและโค้ดจำนวนมาก ทำให้สามารถสนทนากับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติและตอบคำถามได้อย่างสร้างสรรค์ หรือ Midjourney ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างภาพวาดที่มีความสมจริง สวยงาม และน่าทึ่ง ดังนั้น ในบทความนี้ เราจึงอยากพาทุกคนย้อนกลับมาดูต้นกำเนิดและทำความรู้จักกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ว่าคืออะไร? และมีกี่ประเภท? เพื่อเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และให้เราสามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
Artificial Intelligence คืออะไร?
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างให้เครื่องจักรสามารถคิด เรียนรู้ และแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง โดยใช้หลักการและแนวคิดเดียวกับการทำงานของสมองมนุษย์ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิค Machine Learning และ Deep Learning ที่เป็นประเภทของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ โดยในปัจจุบันหลายๆ องค์กรได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการทำงานด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การให้บริการตอบคำถามลูกค้าในแชทบอทบนเว็บไซต์ เพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานของมนุษย์ได้ ทั้งนี้ ใช่ว่า AI จะถูกนำมาใช้ในภาคธุรกิจเพียงอย่างเดียว เพราะ AI ได้ถูกแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจําวัน และหลายๆ คนคุ้นเคยและใช้งานกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น Google Map ระบบให้บริการนำทาง และข้อมูลที่เกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ Siri, Voice Search หรือแม้แต่กระทั้งเครื่องดูดฝุ่นอัฉริยะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยี AI ทั้งสิ้น
ประเภทความสามารถ Artificial Intelligence คืออะไรบ้าง?
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) จะมีการแบ่งระดับความสามารถออกเป็น 3 ระดับ คือ
• ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow Artificial Intelligence )
ปัญญาประดิษฐ์แบบแคบ (Narrow AI) คือ เป็นปัญญาประดิษฐ์ชนิดพิเศษที่ถนัดการทำงานเพียงงานเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น AI ที่เราใช้ในชีวิตประจําวันอย่าง Siri ผู้ช่วยเสมือนบนโทรศัพท์ที่ผู้ใช้งานต้องสั่งการด้วยเสียง จะมีหน้าที่หลักคือ การตอบคำถามและทำงานตามคำสั่งเสียง Google Translate จะมีหน้าที่หลักคือการแปลภาษา จะเห็นได้ว่าปัญญาประดิษฐ์แบบแคบเหล่านี้ล้วนมีความสามารถเฉพาะทางที่โดดเด่น แต่ไม่สามารถทำงานด้านอื่นๆ ได้
• ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence)
Artificial General Intelligence (AGI) คือ ปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่มีความสามารถในการเข้าใจ เรียนรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้ในขอบเขตที่หลากหลาย ลักษณะที่คล้ายกับสติปัญญาของมนุษย์ มีเป้าหมายที่จะจำลองความสามารถทางปัญญาแบบมนุษย์ ทำให้เครื่องจักรไม่เพียงแต่เป็นเลิศในงานต่างๆ เท่านั้น แต่ยังได้รับทักษะใหม่ๆ และปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน โดยไม่จำเป็นต้องตั้งโปรแกรมไว้อย่างชัดเจน ตัวอย่างของโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ที่ใกล้เคียงกับ AGI คือAlphaGo ที่พัฒนาโดย DeepMind (บริษัทในเครือ Google) สามารถเล่นเกมโซคิ (Go) ที่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถเรียนรู้เกมโซคิด้วยตนเองและชนะนักเล่นโซคิมืออาชีพได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการพัฒนา AGI ในปัจจุบันยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยังคงมีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนา AGI ที่สมบรูณ์แบบได้สำเร็จในอนาคต
• ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Super Artificial Intelligence )
Super Artificial Intelligence คือ ปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการคิด การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และสร้างสรรค์ ซึ่ง ASI ในปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถสร้างได้ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสร้างปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูง ASI ในอนาคต ตัวอย่างของความสามารถของ ASI ที่คาดการณ์ในอนาคต เช่น สามารถคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ดีกว่ามนุษย์ สามารถเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างอิสระ สามารถเข้าใจและตอบสนองอารมณ์ของมนุษย์ได้
ประเภทฟังก์ชันการทำงานของ Artificial Intelligence มีอะไรบ้าง?
ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) จะมีการแบ่งฟังก์ชันออกเป็น 4 ประเภทคือ
• Reactive Machines
Reactive Machines คือ AI ประเภทหนึ่งที่มีความสามารถค่อนข้างจำกัด ไม่สามารถจดจำหรือเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาได้ รวมทั้งไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำได้เพียงตอบสนองต่อสถานการณ์ตรงหน้าเท่านั้น แต่ก็มีจุดเด่นที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ Reactive Machines มักถูกนำไปใช้ในงานระบบป้องกันภัยคุกคามหรือระบบควบคุมอัตโนมัติ
• Limited Memory
Limited Memory คือ ระบบ AI ที่สามารถทำงานได้ดีกว่าระบบ Reactive Machines เนื่องจาก Limited Memory จะนำข้อมูลในอดีตมาช่วยในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ แต่มีความจำที่ค่อนข้างจำกัด ตัวอย่างที่มีการนำ AI ที่มีฟังก์ชัน Limited Memory เช่น self-driving cars ที่จะตรวจจับความเร็วของรถข้างๆ และนำมาช่วยตัดสินใจในการขับรถ
• Theory of Mind
อีกหนึ่งฟังก์ชันการทำงานของ AI ประเภทนี้คือ ระบบจะสามารถเข้าใจความรู้สึก อารมณ์ และความเชื่อ จะมีลักษณะคล้ายๆ กับการนึกคิดและความรู้สึกของมนุษย์ ถึงแม้ว่าการพัฒนาการทำงานของ AI ฟังก์ชัน Theory of Mind จะยังไม่สามารถพัฒนาได้ขึ้นจริง แต่ตัวอย่างก็จะมีให้เห็นในภาพยนตร์เรื่อง Ex Machina 2014 ในหนังนี้มีการนำเสนอ AI ที่เข้าใจอารมณ์และความคิดเสมือนมนุษย์ รวมถึงการทดสอบความคิดของ AI ในสถานการณ์แตกต่าง ๆ โดยมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเข้าใจและสื่อสารระหว่างมนุษย์และ AI
• Self-Awareness
Self-Awareness เป็นระบบ AI ขั้นสูงสุดที่มีความรู้สึก และสามารถสร้างอารมณ์ได้ มีความคิดเป็นของตัวเองดังเช่นมนุษย์ เช่น ในภาพยนตร์เรื่อง "Blade Runner" ที่เล่าเรื่องระบบ AI ที่เรียกว่า "Replicants" ซึ่งมีความรู้สึกและความตระหนักรู้ในตัวเองและสามารถแสดงอารมณ์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนักพัฒนาและนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ได้มีการพัฒนา AI ฟังก์ชันนี้
จากข้อมูลข้างต้นน่าจะทำให้หลายๆ คนได้เข้าใจถึงประเภทและขีดความสามารถของเทคโนโลยี AI ซึ่งในหัวข้อถัดไปเราจะพาทุกคนไปพบกับตัวอย่างเทคโนโลยี AI ที่เราคุ้นเคยและใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีนี้มากขึ้น และสามารถหยิบไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้ในอนาคต
ตัวอย่าง เทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจ ในชีวิตประจำวัน และสามารถนำมาปรับใช้ได้ในภาคธุรกิจ
เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เห็นได้จากที่หลายบริษัทได้เปิดตัวแชทบอท เพื่อเข้ามาสร้างจุดขาย ไม่ว่าจะเป็น Google ที่ได้ออกแชทบอทโดยใช้ชื่อว่า Bard, ทาง Baidu เองก็ได้เตรียมเปิดตัว ERNIE Bot เพื่อมาท้าชนกับเหล่าเทคโนโลยีแชทบอททั้งหลาย ซึ่งการเปิดตัวแชทบอทสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI ในยุคปัจจุบันที่กำลังถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันอย่างการทำงาน การเรียน การดำเนินชีวิต แน่นอนว่านอกจากแชทบอทแล้วยังมีเทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจอื่นๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราในหลายด้าน และหลายคนก็น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามพร้อมๆ กันได้ในหัวข้อถัดไป!
• แผนที่และการนำทาง
การเดินทางในปัจจุบันหลาย ๆ คนจะเลือกใช้ Google Map ในการนำทางไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากมีความแม่นยำ และมีฟีเจอร์ที่หลากหลายให้ผู้ใช้งานได้ปรับแต่ง เลือกเส้นทางที่เหมาะสม สามารถตรวจสอบสิ่งกีดขวางบนถนน และความแออัดของการจราจร ซึ่งในระบบจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เก็บบันทึกได้ พร้อมประมวลผลเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี Google Map จึงถือเป็นหนึ่งใน AI ที่เราใช้ในชีวิตประจําวัน และแทบจะใช้กันทุกวันเลยด้วยซ้ำ ซึ่งนอกจาก Google Map จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สามารถดูเส้นทางต่างๆ ได้แล้ว เจ้าของธรุกิจหลายๆ คน ยังใช้เป็นเครื่องมือในการใส่ข้อมูลสินค้าและโปรชันของธุรกิจลงใน Google My Business ซึ่งเป็นบริการฟรีจาก Google โดยข้อมูลเหล่านี้จะแสดงบน Google Search และ Google Maps ทำให้เมื่อลูกค้าค้นหาชื่อธุรกิจของคุณ จะช่วยให้พวกเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตั้ง ประเภทสินค้า ราคาสินค้า เป็นตัน
• การตรวจจับและการจดจำใบหน้า
AI ที่เราใช้ในชีวิตประจําวัน อย่างการใช้ Face ID เพื่อปลดล็อคโทรศัพท์ เป็นกระบวนการทำงานของระบบการตรวจจับใบหน้า มีการใช้เทคโนโลยีที่ใช้การรับรู้และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจดจำลักษณะเฉพาะของใบหน้า เช่น โครงสร้างของดวงตา, จมูก, และปาก เพื่อสร้างแบบจำลักษณะที่มีความแม่นยำ ซึ่งระบบ Face ID ไม่เพียงแค่ตรวจจับใบหน้า แต่ยังเรียนรู้จากข้อมูลที่ได้รับ และจดจำลักษณะบนใบหน้าที่มีความเฉพาะของผู้ใช้งาน โดยทุกครั้งระบบจะเรียนรู้และปรับปรุงการจดจำใบหน้าเพื่อให้มีความแม่นยำสูงขึ้น สำหรับเทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ เพื่อออกแบบสินค้า หรือทำแคมเปญการตลาดได้ ดังเช่น บริษัท zenus ผู้นำด้านการวิเคราะห์ใบหน้า ที่ใช้เทคโนโลยี Exposure Analytics ระบบ Automation ในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค เพียงแค่ระบบเซ็นเซอร์ทำการตรวจจับใบหน้าและสแกนผลออกมา ก็สามารถบอกได้ว่าผู้บริโภคคนนี้รู้สึกอย่างไร สามารถวัดความประทับใจ ข้อมูลประชากร (อายุ/เพศ) ความรู้สึกเชิงบวก และอื่น ๆ เป็นต้น
• โปรแกรมแก้ไขข้อความหรือการแก้ไขอัตโนมัติ
เทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจอย่างเครื่องมือ Grammarly เป็น AI ที่หลายๆ คนนิยมใช้ในชีวิตประจําวันระหว่างการทำงาน การเรียน ถือเป็นอีกหนึ่งปัญญาประดิษฐ์ ที่เข้ามาช่วยให้มนุษย์สามารถทำงานได้สะดวกสบายมากขึ้น และช่วยลดระยะเวลาการทำงาน โดยโปรแกรม Grammarly จะช่วยตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดในการเขียนข้อความแบบต่าง ตรวจสอบตัวสะกดและไวยากรณ์ ซึ่งช่วยให้เราสื่อสารและเขียนข้อความได้อย่างมีความแม่นยำ นอกจาก Grammarly แล้วยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่จะสามารถช่วยให้งานเขียนเป็นเรื่องง่ายขึ้น เช่น QuillBot, Ginger, Scribens, Zoho Writer, LanguageTool เป็นต้น ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้จะสามารถเข้ามาช่วยในการตรวจสอบการเขียนอีเมล จดหมาย หรือเอกสารต่างๆ รวมทั้งตรวจสอบการเขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียได้อีกด้วย
• ผู้ช่วยดิจิทัลด้วยคำพูด หรือคำสั่งเสียง
เทคโนโลยี AI ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีในชีวิตประจำวัน คือการใช้ Siri หรือ Alexa ถือเป็นระบบ AI ที่มาในรูปแบบ Voice Search โดยอาศัยการผสมผสานการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP), การเรียนรู้ของเครื่อง (ML), การวิเคราะห์ทางสถิติ และการตัดสินใจด้วยอัลกอริทึม เพื่อตีความคำขอของผู้ใช้ และพยายามตอบสนองคำขอเหล่านั้น ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ต่อธุรกิจ E-Commerce, ธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจท่องเที่ยว และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น Alibaba และStarbucks จับมือกันจัดแคมเปญการตลาด “สั่งเครื่องดื่มแก้วโปรดผ่านลำโพงอัจฉริยะTmall Genie พร้อมจัดส่งให้ถึงที่ภายใน 30 นาที” เป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกสบายด้วยการสั่งการผ่าน Voice Search พร้อมยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในการสั่งเครื่องดื่ม Starbucks ให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางหรือรอคิวที่ร้าน
ที่มา:https://stories.starbucks.com
Artificial Intelligence (AI) คือ ระบบคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบและสร้างให้มีความสามารถในการคิด มีความเข้าใจ และแก้ปัญหาแบบเป็นมนุษย์ โดยใช้การเรียนรู้และการประมวลผลข้อมูล เพื่อปฏิบัติงานหรือประมวลผลข้อมูล ผ่านโครงข่ายอัลกอริทึมอื่น ๆ ซึ่งเทคโนโลยี AI ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีและยังใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเช่น Google Map, Siri, Search Engine เป็นต้น ได้เข้ามาช่วยให้การดำเนินชีวิตของเรานั้นมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น สำหรับบทความหน้าเราจะพาทุกคนไปไปดูเครื่องมือ AI ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในธุรกิจ เพื่อสร้างความประสบความสำเร็จให้กับองค์กร